โปรดพุทธมารดา - เสด็จดาวดึงส์
ลำดับนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงพุทธดำริว่า “พุทธประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าในอดีตกาล เมื่อทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จจำพรรษา ณ ที่ใด” ทรงพิจารณาด้วยอดีตตังสญาณก็เห็นแจ้งประจักษ์ว่า “เสด็จจำพรรษาในดาวดึงส์เทวพิภพ แล้วตรัสแสดงอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ ปกรณ์ ถวายในไตรมาส เพื่อกระทำการสนองพระคุณพุทธมารดาอีกประการหนึ่ง ความปรารถนาอันใดที่พระชนนีตั้งไว้แทบบาทมูลพระพุทธวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า “ขอให้นางได้เป็นมารดาพระบรมครูเห็นปานดังพระพุทธองค์” ความปรารถนาอันนั้นก็สำเร็จสมประสงค์และพระชนนีมีพระคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก ยากที่จะได้ตอบสนองพระคุณพระมารดา
ลำดับนั้น สมเด็จพระบรมศาสดา ทรงพุทธดำริว่า “พุทธประเพณีแห่งพระพุทธเจ้าในอดีตกาล เมื่อทำยมกปาฏิหาริย์แล้ว เสด็จจำพรรษา ณ ที่ใด” ทรงพิจารณาด้วยอดีตตังสญาณก็เห็นแจ้งประจักษ์ว่า “เสด็จจำพรรษาในดาวดึงส์เทวพิภพ แล้วตรัสแสดงอภิธรรมปิฎกทั้ง ๗ ปกรณ์ ถวายในไตรมาส เพื่อกระทำการสนองพระคุณพุทธมารดาอีกประการหนึ่ง ความปรารถนาอันใดที่พระชนนีตั้งไว้แทบบาทมูลพระพุทธวิปัสสีสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่า “ขอให้นางได้เป็นมารดาพระบรมครูเห็นปานดังพระพุทธองค์” ความปรารถนาอันนั้นก็สำเร็จสมประสงค์และพระชนนีมีพระคุณแก่ตถาคตเป็นอันมาก ยากที่จะได้ตอบสนองพระคุณพระมารดา
ทรงจินตนาการดังนี้แล้วเสด็จลุกจากรัตนบัลลังก์ ขึ้นสู่ดาวดึงส์เทวพิภพประทับนั่งเหนือกัมพลศิลาอาสน์ ภายใต้ปาริฉัตตรุกขชาติ อันเป็นธงแห่งดาวดึงส์เทวโลก
แสดงพระอภิธรรมปิฎก
แสดงพระอภิธรรมปิฎก
ในกาลนั้น ท้าวสหัสสนัยน์เทวราช เมื่อทอดพระเนตรเห็น จึงประกาศใช้เหล่าทวยเทพได้ทราบทั่วกัน เทพเจ้าทั้งหลายตลอดหมื่นจักรวาลถือทิพยมาลาสักการะมาสโมสรสันนิบาต ถวายนมัสการแล้วประทับนั่งอยู่โดยรอบพระพุทธองค์ เมื่อไม่ทรงเห็นพุทธมารดา จึงตรัสถามท้าวสักกรินทร์เทวราช ท้าวสักกรินทร์เทวราชจึงเสด็จไปตามพระสิริมหามายาเทวบุตร ณ ดุสิตพิภพ พระพุทธมารดา ได้สดับทรงประปีติปราโมทย์ เสด็จมายังดาวดึงส์เทวพิภพสู่สำนักพระบรมครู ถวายนมัสการประทับนั่งอยู่เบื้องขวาแห่งพระผู้มีพระภาค พลางดำริว่า อาตมานี้มีบุญยิ่งนัก มีเสียทีที่อาตมาอุ้มท้องมา ได้พระโอรสอันประเสริฐเห็นปานนี้” ส่วนสมเด็จพระชินสีห์มีพระทัยปรารถนาจะสนองคุณพระมารดาจึงดำริว่า “พระคุณแห่งมารดาที่ทำไว้แก่ตถาคตนี้ยิ่งใหญ่นัก สุดที่จะคณานับ ได้ว่ากว้างหนาและลึกซึ้งปานใด และธรรมอันใดจึงจะสมควรที่จะทดแทนพระคุณได้ พระวินัยปิฎก และพระสุตตันตปิฎกก็ยังน้อยนัก มิเท่าคุณแห่งพระมารดา เห็นควรแต่พระอภิธรรมปิฎกที่จะพอยกขึ้นชั่งเท่ากันได้” ดำริดังนี้แล้ว กวักพระหัตถ์เรียกพระพุทธมารดาว่า “ดูกรชนนี มานี้เถิดตถาคตจะใช้ค่าน้ำนมข้าวป้อนของมารดา อันเลี้ยงตถาคตนี้มาแต่อเนกชาติในอดีตภพ” แล้วกระทำพุทธมารดาเป็นประธาน ตรัสอภิธรรมปิฎก ๗ คัมภีร์ ให้สมควรแก่ปัญญาบารมี มี
2. วิภังค์
3. ธาตุกถา
4. ปุคคลบัญญัติ
5. กถาวัตถุ
6. ยมก และ
7. มหาปัฏฐาน
กาลเมื่อสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงสัตตปกรณาภิธรรมเทศนาจบลง องค์พระสิริมหามายาเทวบุตรพุทธมารดา ก็บรรลุโสดาปัตติผล ประกอบด้วยนัย ๑ พันบริบูรณ์
หมายเหตุ
ชาวไทยนิยมเรียกอภิธรรมปิฎก (อภิธัมมปิฎก)ว่า อภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็เพราะอภิธัมมปิฎกแยกเป็นหัวข้อสำคัญ ๗ ข้อ คือ :-
ชาวไทยนิยมเรียกอภิธรรมปิฎก (อภิธัมมปิฎก)ว่า อภิธรรม ๗ คัมภีร์ ก็เพราะอภิธัมมปิฎกแยกเป็นหัวข้อสำคัญ ๗ ข้อ คือ :-
๑. ธัมมสังคณี ว่าด้วยการ " รวมกลุ่มธรรมะ " คือจัดระเบียบธรรมะต่าง ๆ ที่กระจายกันอยู่มากมายมาไว้ในหัวข้อสั้น ๆ เทียบด้วยการนำเครื่องประกอบต่าง ๆ ของนาฬิกามาคุมกันเข้าเป็นนาฬิกาทั้งเรือน
๒. วิภังค์ ว่าด้วยการ " แยกกลุ่ม " คือกระจายออกไปจากกลุ่มใหญ่ เพื่อให้ เห็นรายละเอียด เช่น ขันธ์ ๕ มีอะไรบ้าง แต่ละข้อนั้นแยกออกไปอย่างไรได้อีก เทียบด้วยการถอดส่วนประกอบของนาฬิกา ออกมาจากที่รวมกันอยู่เดิม
๓. ธาตุกถา ว่าด้วย " ธาตุ " คือสิ่งที่เป็นต้นเดิมในทางธรรม ( โปรด เข้าใจว่า เป็นคนละอย่างกับธาตุทางวิทยาศาสตร์ เพราะทางธรรมมุ่งคติสอนใจ สิ่งที่เป็นต้นเดิมทางธรรม จึงมีความหมายตาม คติธรรม )
๔. ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วย " การบัญญัติบุคคล " โดยกล่าวถึงคุณธรรมสูง ต่ำของบุคคล เช่น คำว่า " สมยวิมุตฺโต " " ผู้พ้นเป็นคราว ๆ " คือบางคราวก็ละกิเลสได้ บางคราวก็ละไม่ได้ " อสมย- วิมุตฺโต " " ผู้พ้นตลอดไปไม่ขึ้นอยู่กับคราวสมัย " ได้แก่ผู้ละกิเลสได้เด็ดขาด เป็นต้น
๕. กถาวัตถุ ว่าด้วย " เรื่องของถ้อยคำ " คือการตั้งคำถามคำตอบ เพื่อชี้ให้ เห็นหลักธรรมที่ถูกต้องทางพระพุทธศาสนา
๖. ยมก ว่าด้วย " ธรรมะที่เป็นคู่ " คือการจัดธรรมะเป็นคู่ ๆ โดยอาศัยหลัก การต่าง ๆ
๗. ปัฏฐาน ว่าด้วย " ที่ตั้ง คือปัจจัย ๒๔ " แสดงว่าอะไรเป็นปัจจัยของ อะไรในทางธรรม